Building Energy Code (BEC) มาตรฐานการออกแบบอาคารอนุรักษ์พลังงานสู่ Green Building

Building Energy Code (BEC) มาตรฐานการออกแบบอาคารอนุรักษ์พลังงานสู่ Green Building

ในปัจจุบันภาคอาคารธุรกิจเป็นหนึ่งในกลุ่มที่มีการใช้พลังงานสูง โดยเฉพาะในระบบปรับอากาศ แสงสว่าง และอุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ ซึ่งมีแนวโน้มในการใช้พลังงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามการขยายตัวของเมืองและความต้องการใช้งานอาคารที่มากขึ้น ส่งผลให้เกิดภาระต่อระบบพลังงานของประเทศและเพิ่มการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม ดังนั้น “อาคารอนุรักษ์พลังงาน” จึงกลายเป็นแนวทางสำคัญในการลดการใช้พลังงาน ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยสร้างความยั่งยืน ทั้งยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานในระยะยาว 

เพราะฉะนั้นเพื่อสนับสนุนแนวทางนี้จึงได้มีการกำหนด “มาตรฐาน BEC (Building Energy Code)” ขึ้นมา ซึ่งเป็นแนวทางเบื้องต้นในการออกแบบและก่อสร้างอาคารที่ช่วยให้เจ้าของอาคาร วิศวกร และสถาปนิก สามารถวางแผนการใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและส่งเสริมให้อาคารใหม่มีการใช้พลังงานอย่างเหมาะสมตั้งแต่เริ่มต้น พร้อมช่วยผลักดันให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานในระดับประเทศนั่นเอง

มาตรฐาน BEC (Building Energy Code) คืออะไร

มาตรฐาน BEC (Building Energy Code) คืออะไร

มาตรฐาน BEC (Building Energy Code) คือ ข้อกำหนดด้านการออกแบบอาคารเพื่อให้ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยครอบคลุมระบบต่าง ๆ เช่น ระบบแสงสว่าง ระบบปรับอากาศ ผนัง หลังคา และกระจกอาคาร ซึ่งมาตรฐาน BEC เริ่มต้นพัฒนาขึ้นในปี พ.ศ. 2538 โดยเริ่มจากการกำหนดแนวทางให้อาคารออกแบบเพื่อประหยัดพลังงาน ต่อมาได้มีการปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2562 เริ่มมีการบังคับใช้อย่างจริงจังกับอาคารใหม่บางประเภท เช่น อาคารขนาดใหญ่พิเศษ และอาคารที่ยื่นขออนุญาตก่อสร้าง เป็นต้น

หลักเกณฑ์ของมาตรฐานการออกแบบอาคาร BEC

  1. การใช้พลังงานในระบบแสงสว่าง: กำหนดวิธีการออกแบบระบบแสงสว่างให้มีประสิทธิภาพสูง เช่น การเลือกใช้หลอดไฟประหยัดพลังงาน การควบคุมแสงสว่างอัตโนมัติตามความต้องการ การออกแบบพื้นที่ให้มีแสงธรรมชาติส่องถึงได้มากที่สุดเพื่อลดการใช้ไฟฟ้าโดยไม่จำเป็น
  2. ระบบการปรับอากาศ: เน้นการออกแบบระบบปรับอากาศให้ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การเลือกใช้เครื่องปรับอากาศที่มีประสิทธิภาพสูง การควบคุมอุณหภูมิอย่างแม่นยำและเหมาะสมกับการใช้งานในพื้นที่ต่าง ๆ ของอาคาร หรือการใช้เทคโนโลยีประหยัดพลังงานในระบบ HVAC 
  3. ระบบการผลิตน้ำร้อน: กำหนดให้มีการใช้เทคโนโลยีในการผลิตน้ำร้อนที่ประหยัดพลังงาน เช่น การใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในการผลิตน้ำร้อน หรือการใช้หม้อไอน้ำที่มีประสิทธิภาพสูง ลดการใช้พลังงานจากแหล่งฟอสซิล 
  4. ระบบการระบายอากาศและการควบคุมอุณหภูมิ: การออกแบบระบบระบายอากาศที่มีประสิทธิภาพ เช่น การควบคุมการไหลของอากาศ การใช้เทคโนโลยีการระบายอากาศธรรมชาติ การใช้ระบบระบายอากาศที่มีประสิทธิภาพเพื่อให้ความร้อนออกจากอาคารได้ดี หรือการใช้วัสดุก่อสร้างที่ช่วยรักษาอุณหภูมิภายในอาคาร
  5. การเลือกใช้วัสดุก่อสร้างและการออกแบบอาคาร: มาตรฐาน BEC กำหนดให้เลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่มีคุณสมบัติช่วยในการเก็บรักษาความร้อนและเย็น เช่น การใช้วัสดุกันความร้อนที่มีคุณภาพดี การออกแบบอาคารให้เหมาะสมกับสภาพอากาศเพื่อใช้พลังงานน้อยที่สุด เช่น การออกแบบผนังและหลังคาให้มีการประหยัดพลังงานสูงสุด เป็นต้น

ประเภทของอาคารตามการแบ่งเกณฑ์ BEC

ประเภทของอาคารตามการแบ่งเกณฑ์ BEC

การแบ่งประเภทของอาคารที่อยู่ภายใต้การควบคุมของมาตรฐาน BEC มีทั้งหมด 9 ประเภท ดังต่อไปนี้

    1. สถานพยาบาล : อาคารที่ให้บริการทางการแพทย์ เช่น โรงพยาบาล คลินิก ต้องมีการควบคุมพลังงานเพื่อให้การทำงานของระบบต่าง ๆ เช่น ระบบปรับอากาศและระบบไฟฟ้าให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรองรับจำนวนผู้ป่วยและบุคลากรอย่างเหมาะสม
    2. สถานศึกษา : อาคารที่ใช้สำหรับการศึกษา เช่น โรงเรียน มหาวิทยาลัย ต้องออกแบบระบบพลังงานให้ประหยัดโดยไม่กระทบต่อการเรียนการสอน เช่น การใช้แสงธรรมชาติและการปรับอากาศอย่างมีประสิทธิภาพ
    3. สำนักงานหรือที่ทำการ : อาคารที่ใช้สำหรับการบริหารจัดการ เช่น สำนักงานราชการ สำนักงานบริษัท ต้องออกแบบระบบพลังงานให้มีประสิทธิภาพสูง ทั้งระบบแสงสว่าง การระบายอากาศ และระบบปรับอากาศ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำงาน ลดการใช้พลังงาน และสอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนาอาคารอย่างยั่งยืน
    4. อาคารชุด : อาคารที่ใช้สำหรับการทำงาน เช่น สำนักงาน บริษัทต่าง ๆ ต้องมีการควบคุมพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ระบบแสงสว่างและปรับอากาศที่สามารถตอบสนองกับจำนวนคนในแต่ละวัน
    5. อาคารชุมนุมคน : อาคารที่ใช้ในการชุมนุมหรือกิจกรรมต่าง ๆ เช่น สถานที่จัดงาน สถานที่ประชุม ต้องออกแบบเพื่อให้มีการควบคุมพลังงานในระบบต่าง ๆ เช่น ระบบระบายอากาศและไฟฟ้าเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ในช่วงเวลาต่าง ๆ
    6. โรงมหรสพ : อาคารที่ใช้สำหรับกิจกรรมบันเทิง เช่น โรงละคร โรงภาพยนตร์ ต้องออกแบบระบบการใช้พลังงานให้เหมาะสมกับจำนวนผู้ชมและลักษณะการใช้งาน เช่น ระบบแสงสว่างและระบบปรับอากาศ
    7. โรงแรม : อาคารที่ให้บริการที่พัก เช่น โรงแรม ต้องควบคุมการใช้พลังงานทั้งในส่วนของห้องพักและพื้นที่ส่วนกลาง เช่น ระบบปรับอากาศและน้ำร้อนที่ใช้ในห้องพัก
    8. ศูนย์การค้าหรือห้างสรรพสินค้า : อาคารที่ใช้สำหรับการค้าปลีก ต้องออกแบบให้ระบบแสงสว่าง ระบบปรับอากาศ และการใช้พลังงานอื่น ๆ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรองรับจำนวนลูกค้าจำนวนมากและลดค่าใช้จ่ายพลังงาน
    9. สถานบริการ : อาคารที่ให้บริการ เช่น ร้านอาหาร ฟิตเนส ต้องควบคุมพลังงานในระบบต่าง ๆ เช่น ระบบแสงสว่างและการปรับอากาศ เพื่อให้บริการลูกค้าได้อย่างสะดวกสบายและมีประสิทธิภาพ

ข้อดีในการออกแบบอาคารตามมาตรฐาน BEC

ข้อดีในการออกแบบอาคารตามมาตรฐาน BEC
  1. เจ้าของอาคาร: การออกแบบตามมาตรฐาน BEC ช่วยลดการใช้พลังงานโดยไม่กระทบต่อการใช้งานภายในอาคาร ทำให้เจ้าของอาคารประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว และอาคารที่มีการออกแบบตามมาตรฐานพลังงานมักได้รับความนิยมจากผู้เช่าและผู้ซื้อในอนาคต ซึ่งสามารถเพิ่มมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ได้
  2. ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์: อาคารที่มีการออกแบบตามมาตรฐาน BEC สามารถดึงดูดกลุ่มลูกค้าที่มีความสนใจในเรื่องของการอนุรักษ์พลังงานและความยั่งยืน และการปฏิบัติตามมาตรฐาน BEC ทำให้ไม่เสี่ยงต่อการฝ่าฝืนกฎหมายหรือข้อกำหนดจากภาครัฐ
  3. ผู้ใช้อาคาร: อาคารที่ออกแบบตามมาตรฐาน BEC มักมีระบบระบายอากาศที่ดีและแสงสว่างที่เหมาะสม ช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพของผู้ใช้งาน และผู้ใช้จะได้รับประโยชน์จากการลดค่าใช้จ่ายพลังงานเนื่องจากการใช้ระบบพลังงานที่มีประสิทธิภาพ

ก้าวต่อไปของอาคารอนุรักษ์พลังงานสู่ Green Building

การพัฒนาอาคารเขียว (Green Building) ต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล เจ้าของอาคาร นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และสถาปนิก เพื่อผลักดันการใช้ “มาตรฐาน BEC” ในการออกแบบและก่อสร้างอาคารอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมุ่งสู่การใช้พลังงานอย่างยั่งยืนและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ในการสร้างเมืองที่สมบูรณ์และมีความยั่งยืน โดยการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น Smart Building และ BAS/BMS (ระบบควบคุมอาคารอัตโนมัติ) ด้วยการใช้เทคโนโลยี IoT เพื่อเชื่อมต่อและควบคุมระบบต่าง ๆ ของอาคาร เช่น ระบบแสงสว่างและปรับอากาศอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดการใช้พลังงานและช่วยให้การดำเนินงานของอาคารมีความยั่งยืนยิ่งขึ้น

CAI Engineering สนับสนุนการมุ่งสู่ Green Building โดยการออกแบบและติดตั้งระบบที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน เช่น ระบบ HVAC ที่ประหยัดพลังงาน และการใช้เทคโนโลยีการควบคุมอาคารเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืนยิ่งขึ้น

 

ปรึกษาเรื่องการสร้างห้องคลีนรูม

หรือติดตามความรู้เรื่องนวัตกรรมการปรับอากาศ

Line OA : @caihvac หรือคลิก https://lin.ee/RTsrnHb

E-mail : veeraya@caiengineering.com

บทความอื่นๆที่น่าสนใจ

Building Energy Code (BEC) มาตรฐานการออกแบบอาคารอนุรักษ์พลังงานสู่ Green Building

Building Energy Code (BEC) มาตรฐานการออกแบบอาคารอนุรักษ์พลังงานสู่ Green Building

รู้จักกับ BEC (Building Energy Code) มาตรฐานการออกแบบอาคารประหยัดพลังงาน เน้นการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพตอบโจทย์อาคารเขียว Green Building

Read More »
หลักการออกแบบระบบปรับอากาศ HVAC สำหรับศูนย์ข้อมูล (Data Center)

หลักการออกแบบระบบปรับอากาศ HVAC สำหรับศูนย์ข้อมูล (Data Center)

เข้าใจประเภทและหลักการออกแบบระบบปรับอากาศ (HVAC System) ที่มีความสำคัญต่อการควบคุมอุณหภูมิและความชื้นสำหรับศูนย์ข้อมูล (Data Center)

Read More »

By clicking “Accept”, you agree to the storing of cookies on your device to enhance site navigation, analyze site usage, and assist in our marketing efforts. Privacy Policy

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า