“ISO 14064” มาตรฐานสำคัญเพื่อการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร

“ISO 14064” มาตรฐานสำคัญเพื่อการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร

ภาวะโลกร้อนเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมที่เกิดจากมนุษย์ เช่น การเผาไหม้เชื้อเพลิง การทำลายป่าไม้ และการเกษตร ซึ่งทำให้ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกอื่น ๆ ในชั้นบรรยากาศเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิดการเก็บความร้อนในชั้นบรรยากาศ และนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลก 

เพราะฉะนั้นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการต่อสู้กับภาวะโลกร้อนและผลกระทบที่เกิดขึ้นกับสภาพอากาศของโลก การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะช่วยลดผลกระทบต่อระบบนิเวศ รวมถึงการลดความเสี่ยงของการสูญพันธุ์สัตว์ป่า การรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ และการป้องกันการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่รุนแรง เป็นต้น

 

“Carbon Footprint” หมายถึง ปริมาณของก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากกิจกรรมหรือผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่

  1. คาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint of Products : CFP): การประเมินปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจากผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่กระบวนการผลิตวัตถุดิบ การจัดส่ง การใช้งาน จนถึงการกำจัดขยะหรือการรีไซเคิล
  2. คาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร (Carbon Footprint for Organization : CFO): การประเมินปริมาณของก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมทั้งหมดขององค์กร รวมถึงการใช้พลังงาน การขนส่ง การเดินทางของพนักงาน การจัดการขยะ และกิจกรรมอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อการปล่อย GHG


คาร์บอนฟุตพรินต์ เป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยบรรลุเป้าหมายในการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร โดยให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล คือ มาตรฐาน ISO 14064 ที่จะช่วยประเมินปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรให้เป็นไปตามข้อกำหนดและจุดมุ่งหมายเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกนั่นเอง

มาตรฐาน ISO 14064 คืออะไร?

มาตรฐาน ISO 14064 คืออะไร?

มาตรฐาน ISO 14064 เป็นมาตรฐานที่กำหนดข้อกำหนดและแนวทางสำหรับการรายงานและการตรวจสอบก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas: GHG) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการวัดและการจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยมาตรฐานนี้จะเน้นไปที่การรายงานและการตรวจสอบการปล่อย GHG ตามหลักวิธีที่ถูกยอมรับระดับนานาชาติ โดยมาตรฐาน ISO 14064 ประกอบไปด้วยส่วนต่าง ๆ ที่สำคัญ 3 ส่วน ดังนี้

  1. ISO 14064-1: การรายงานและการตรวจสอบของโปรโตคอลที่เป็นการยอมรับทั่วไป (GHG Inventory) มาตรฐานนี้ระบุข้อกำหนดและแนวทางสำหรับการรายงานและการตรวจสอบ GHG ที่เกิดจากกิจกรรมขององค์กร เช่น การวัดและการรายงาน GHG ที่เกิดขึ้นจากการใช้พลังงาน การผลิต และกระบวนการอื่น ๆ เป็นต้น
  2. ISO 14064-2: การรายงานและการตรวจสอบของโปรโตคอลสำหรับโครงการที่มีการรายงานโดยระดับโปรเจกต์ (GHG Project) มาตรฐานนี้เน้นไปที่การรายงานและการตรวจสอบ GHG ที่เกิดขึ้นจากโครงการที่มีการลดการปล่อย GHG หรือเพิ่มประสิทธิภาพในการลดการปล่อย GHG โดยระดับโปรเจกต์  เช่น โครงการเมืองเชิงพาณิชย์ที่มีการลดการใช้พลังงานหรือโครงการป่าไม้เพื่อดัดแปลงการดักก๊าซเรือนกระจก เป็นต้น
  3. ISO 14064-3: การตรวจสอบและการรับรองของโปรโตคอลสำหรับรายงานโดยอาศัยการตรวจสอบและการรับรองของบุคคลภายนอก (GHG Verification and Validation) มาตรฐานนี้ระบุข้อกำหนดและแนวทางสำหรับการตรวจสอบและการรับรองของข้อมูล GHG โดยอาศัยการตรวจสอบและการรับรองจากบุคคลภายนอก เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลที่รายงานเป็นเชิงบวกและมีความน่าเชื่อถือ
ขอบเขตของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร (Scopes of Carbon Emission)

ขอบเขตของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร (Scopes of Carbon Emission)

ขอบเขตของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อช่วยระบุแหล่งที่มาของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งทางตรงและทางอ้อมขององค์กร สามารถแบ่งได้ออกเป็น 3 ขอบเขต  ได้แก่ 

  1. Scope 1 : การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรง (Direct Emissions): การปล่อย GHG โดยตรงจากแหล่งที่มาภายในองค์กร เช่น การปล่อยจากการเผาไหม้ในหม้อแปลง ยานพาหนะที่องค์กรควบคุม และกระบวนการผลิต ขอบเขตนี้รวมถึงการปล่อยที่องค์กรมีอำนาจควบคุมโดยตรง
  2. Scope 2 : การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อม (Indirect Emissions from Electricity  Heating and Cooling): การปล่อย GHG ทางอ้อมที่เกิดขึ้นจากการผลิตและการใช้พลังงานไฟฟ้า การทำความร้อนและการทำความเย็นที่ซื้อมาใช้ในองค์กร แม้ว่าองค์กรจะไม่ปล่อย GHG เหล่านี้โดยตรง แต่ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของ “ฟุตพริ้นท์” คาร์บอนของพวกเขาเนื่องจากเกี่ยวข้องกับการใช้พลังงาน
  3. Scope 3 : การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่น ๆ (Other Indirect Emissions): เป็นการปล่อย GHG ทางอ้อมอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมขององค์กรแต่เกิดขึ้นจากแหล่งที่อยู่นอกการควบคุมโดยตรงขององค์กร เช่น การปล่อยจากการขนส่งสินค้าและบริการ การเดินทางของพนักงาน การใช้ผลิตภัณฑ์ที่องค์กรขายและการกำจัดขยะ ขอบเขตนี้เป็นส่วนที่กว้างที่สุดและอาจเป็นส่วนที่ยากที่สุดในการวัดและจัดการเนื่องจากต้องพิจารณาถึงการปล่อยที่เกิดขึ้นในห่วงโซ่อุปทานและการดำเนินชีวิตของผลิตภัณฑ์

 

โดยการทำความเข้าใจขอบเขตทั้ง 3 ส่วนเหล่านี้จะช่วยให้องค์กรสามารถระบุโอกาสในการลดการปล่อย GHG ได้เป็นอย่างดี ตลอดจนช่วยให้สามารถจัดการกับความเสี่ยงและความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมได้ดียิ่งขึ้นนั่นเอง

วิธีประเมินคาร์บอนตามมาตรฐาน ISO 14064

วิธีการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ที่สอดคล้องตามมาตรฐาน ISO 14064 มี 5 ขั้นตอนหลัก ที่จะช่วยให้องค์กรเห็นภาพรวมของปริมาณก๊าซเรือนกระจก ดังนี้

  1. กำหนดขอบเขตและการวัด: การระบุขอบเขตของกิจกรรมหรือองค์กรที่จะทำการประเมิน รวมถึงการเลือกและการวัดปริมาณ GHG ที่เกี่ยวข้องกับขอบเขตดังกล่าว
  2. ระบุแหล่งข้อมูล: การรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการปล่อย GHG ซึ่งอาจมีข้อมูลการใช้พลังงาน การใช้สารเคมี การจัดการขยะ หรือกระบวนการผลิต เป็นต้น
  3. การคำนวณ: การใช้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อคำนวณปริมาณ GHG ที่ปล่อยออกมา โดยใช้วิธีการคำนวณที่ระบุในมาตรฐาน ISO 14064 กำหนดไว้
  4. การตรวจสอบข้อมูลและวิธีการ: การตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ใช้ในการคำนวณการปล่อย GHG และวิธีการคำนวณที่ใช้
  5. การรายงาน: การรายงานผลการประเมิน GHG โดยใช้รูปแบบที่ระบุในมาตรฐาน ISO 14064 รวมถึงการระบุขอบเขต ข้อมูลที่ใช้ในการคำนวณ ผลลัพธ์ของการประเมิน และมาตรการที่เป็นไปได้สำหรับการลดการปล่อย GHG ในอนาคต

ประโยชน์ของมาตรฐาน ISO 14064

ประโยชน์ของ ISO 14064 เป็นมาตรฐานที่มีประสิทธิภาพที่จะช่วยให้องค์กรสามารถลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ และเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานได้อย่างยั่งยืน โดย ISO 14064 สามารถทำให้องค์กรได้รับประโยชน์ดังต่อไปนี้

  1. การวางแผนและการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก: ISO 14064 ช่วยให้องค์กรสามารถวางแผนและบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยทำให้สามารถตรวจสอบและประเมินผลการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้
  2. การสร้างความโปร่งใสและเชื่อถือได้: มาตรฐาน ISO 14064 ช่วยเสริมสร้างความโปร่งใสในการรายงานผลการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร และเพิ่มความเชื่อถือในข้อมูลที่รายงาน
  3. การช่วยในการตัดสินใจ: ISO 14064 ช่วยให้องค์กรสามารถใช้ข้อมูลเกี่ยวกับก๊าซเรือนกระจกเพื่อประเมินผลการดำเนินการและตัดสินใจเกี่ยวกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอนาคตได้
  4. การเพิ่มชื่อเสียงและความเชื่อถือ: การรับรองตามมาตรฐาน ISO 14064 ช่วยเพิ่มความเชื่อถือในองค์กร และเสริมสร้างชื่อเสียงเป็นองค์กรที่ใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อม
  5. ช่วยให้องค์กรสามารถระบุและคำนวณปริมาณการปล่อย GHG ของตนได้อย่างแม่นยำ: มาตรฐานนี้เป็นแนวทางในการวัดและคำนวณการปล่อย GHG ที่ช่วยให้องค์กรสามารถระบุแหล่งที่มาของการปล่อยและปริมาณการปล่อยได้ชัดเจน

CAI Engineering ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร

CAI Engineering เราให้ความสำคัญกับคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร โดยให้บริการรับสร้างห้องคลีนรูมแบบครบวงจรที่คำนึงถึงความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม โดยเรามุ่งมั่นลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร ด้วยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ มาใช้ในทุกขั้นตอนในการสร้างห้องคลีนรูม ตั้งแต่การออกแบบ ตลอดจนการใช้งานจริง ด้วยการนำระบบ BIM, BAS และ Hololens มาประยุกต์ใช้ในงานต่าง ๆ เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกสบายแก่ผู้ใช้งาน และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงานให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อผลักดันนโยบาย NET Zero ให้ประสบความสำเร็จ เพื่อสร้างอนาคตในการใช้พลังงานอย่างยั่งยืนให้กับโลกของเรา

บทความอื่นๆที่น่าสนใจ

By clicking “Accept”, you agree to the storing of cookies on your device to enhance site navigation, analyze site usage, and assist in our marketing efforts. Privacy Policy

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า