“งานก่อสร้าง” ถือเป็นงานอุตสาหกรรมที่มีความท้าทายและต้นทุนที่สูง โดยมักต้องเผชิญกับปัญหาที่ส่งผลต่อความสำเร็จของงาน ตลอดจนการบริหารจัดการเวลาและทรัพยากรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งปัญหาส่วนใหญ่ที่พบเจอมักมาจากกระบวนการทำงานที่ไม่มีประสิทธิภาพและเกิด “ความสูญเปล่า (Waste)” ที่แฝงอยู่ในขั้นตอนต่าง ๆ ตั้งแต่การออกแบบ การวางแผน ไปจนถึงการก่อสร้างหน้างาน จนทำให้เกิดปัญหาวัสดุเหลือใช้ เวลาที่ต้องสูญเสียไป หรือการทำงานซ้ำซ้อน สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบทั้งต่อคุณภาพงาน งบประมาณ และระยะเวลาก่อสร้าง
แนวคิด “LEAN Construction” หรือ “การก่อสร้างแบบลีน” จึงกลายเป็นแนวทางที่ได้รับความสนใจมากขึ้นในปัจจุบัน โดยนำหลักการลดความสูญเปล่าและเพิ่มคุณค่าให้กับลูกค้ามาใช้ในทุกกระบวนการก่อสร้าง ตั้งแต่การวางแผนไปจนถึงการส่งมอบงานนั่นเอง
LEAN Construction คืออะไร?
“LEAN Construction” คือแนวคิดการบริหารงานก่อสร้างที่พัฒนามาจาก Lean Manufacturing โดยมีเป้าหมายเพื่อลดความสูญเปล่า (Waste) และเพิ่มคุณค่า (Value) ให้กับลูกค้าในทุกขั้นตอนของกระบวนการก่อสร้าง โดย Lean Construction จะช่วยให้โครงการเสร็จตรงเวลา ใช้ทรัพยากรคุ้มค่า และลดต้นทุนโดยไม่ลดคุณภาพ
5 หลักการสำคัญของ Lean Construction
- ระบุคุณค่าที่ลูกค้าต้องการ (Define Value)
- กำหนดกระบวนการสร้างคุณค่า (Map the Value Stream)
- ทำให้การทำงานต่อเนื่อง (Create Flow)
- ทำงานตามความต้องการจริง (Pull System)
- ปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง (Pursue Perfection)
ความสูญเปล่าในงานการก่อสร้างมีอะไรบ้าง

ในงานก่อสร้าง “ความสูญเปล่า (Waste)” คือกระบวนการหรือทรัพยากรที่ไม่ก่อให้เกิดคุณค่า ซึ่งส่งผลให้เกิดต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ระยะเวลาการทำงานที่ยืดเยื้อ และคุณภาพงานที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย โดยทั่วไปความสูญเปล่า (Waste) ที่พบบ่อยในอุตสาหกรรมก่อสร้าง มีดังต่อไปนี้
- การผลิตมากเกินความจำเป็น (Overproduction) : การสร้างงานหรือสั่งวัสดุมากเกินความต้องการ ทำให้เกิดของเหลือ เสียพื้นที่และต้นทุน
- การทำงานที่ซ้ำซ้อนหรือมากเกินจำเป็น (Over Processing) : การทำงานเกินสิ่งที่ลูกค้าต้องการ เช่น รายละเอียดเกินจำเป็น หรือใช้เครื่องมือที่ไม่เหมาะสม
- การรอคอยที่ไม่เกิดคุณค่า (Waiting) : เวลาที่สูญเปล่าจากการรอวัสดุ คนงาน หรือเครื่องจักร ทำให้งานล่าช้า
- การขนย้ายบ่อยเกินไป (Over Transport) : การขนส่งวัสดุหลายครั้งโดยไม่จำเป็น เพิ่มต้นทุนและเสี่ยงความเสียหาย
- การทำงานที่ไม่เกิดประโยชน์ (Inappropriate Processing) : การใช้วิธีหรือทรัพยากรไม่เหมาะสมกับงาน เช่น ใช้เครื่องมือใหญ่กับงานเล็ก
- การสต๊อกวัสดุมากเกินไป (Unnecessary Inventory) : การเก็บวัสดุมากเกิน ส่งผลให้สูญเสียจากเสื่อมสภาพ หรือสูญหาย
- การเคลื่อนย้ายที่ไม่จำเป็น (Unnecessary Motions) : การเดินหาเครื่องมือหรือวัสดุซ้ำซาก จนเพิ่มความเหนื่อยล้าและเสียเวลาในการก่อสร้าง
- การเกิดข้อบกพร่องหรืองานที่เสียหาย (Defect) : งานที่ต้องแก้ไขใหม่ เช่น วัดผิด สเปคไม่ตรง ทำให้ต้นทุนและเวลาทำงานเพิ่มขึ้น
การประยุกต์ใช้แนวคิดแบบลีนในงานก่อสร้าง
การนำแนวคิด LEAN มาประยุกต์ใช้ในแต่ละขั้นตอนของงานก่อสร้าง เช่น
- การวางแผน (Planning)
- กำหนดเป้าหมายชัดเจน เน้นคุณค่าที่ลูกค้าต้องการ
- วางแผนงานแบบร่วมมือ (Collaborative Planning) ลดความคลาดเคลื่อน
- การปฏิบัติ (Execution)
- ใช้ระบบ Pull System ทำงานตามลำดับความจำเป็น
- ลดความสูญเปล่า เช่น การรอคอย วัสดุเกิน หรือการเคลื่อนไหวซ้ำซ้อน
- การตรวจสอบ (Checking)
- ตรวจสอบคุณภาพระหว่างทางอย่างต่อเนื่อง (ไม่รอตรวจปลายทาง)
- ใช้ Visual Control เพื่อระบุปัญหาได้ทันที
- การปรับปรุง (Improvement)
- ประเมินผลหลังจบงาน (Lessons Learned)
- ส่งเสริมการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง (Kaizen) ลดข้อผิดพลาดซ้ำ
ประโยชน์ของ LEAN Construction ในงานก่อสร้าง
- ลดความสูญเปล่า (Waste Reduction) : ลดการผลิตซ้ำ รอคอย ขนย้าย วัสดุเกิน และข้อผิดพลาด ทำให้งานมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- เพิ่มคุณภาพของงาน (Quality Improvement) : ควบคุมกระบวนการอย่างต่อเนื่อง ลดข้อบกพร่อง ส่งมอบงานตรงตามสเปกและความต้องการลูกค้า
- ควบคุมต้นทุนและเวลา (Cost & Time Control) : ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ทำงานเร็วขึ้น ลดค่าแรงและต้นทุนวัสดุ ช่วยให้งานเสร็จตามแผน
- เสริมสร้างความร่วมมือในทีม (Collaboration & Communication) : ส่งเสริมการทำงานร่วมกันระหว่างฝ่ายต่าง ๆ ลดความขัดแย้งและเพิ่มความเข้าใจตรงกัน
- พัฒนาต่อเนื่องและยั่งยืน (Continuous Improvement & Sustainability) : สนับสนุนแนวคิด Kaizen ปรับปรุงกระบวนการไม่หยุดนิ่ง ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม และยกระดับองค์กรในระยะยาว
บทบาทของเทคโนโลยี BIM ในแนวคิด LEAN Construction

“BIM (Building Information Modeling)” เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้การทำงานตามแนวคิด Lean มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเทคโนโลยี BIM ช่วยสร้างข้อมูลที่แม่นยำ รองรับการตัดสินใจและการวางแผนงานแบบลีนได้ดียิ่งขึ้น เช่น ช่วยให้เห็นภาพรวมของงานก่อนก่อสร้างจริง ลดการทำงานซ้ำซ้อนและแก้ไขงานหน้างาน และทำให้การประสานงานระหว่างฝ่ายต่าง ๆ มีประสิทธิภาพมากขึ้น เป็นต้น
โดย CAI Engineering ได้นำเทคโนโลยี BIM มาใช้ในการออกแบบห้องคลีนรูมและวางแผนการเดินระบบปรับอากาศ HVAC ในอาคารให้เกิดประสิทธิภาพในแต่ขั้นตอนการดำเนินงาน เพื่อลดต้นทุนและเวลาในการก่อสร้าง ลดข้อผิดพลาดและงานแก้ไข เพื่อให้งานออกมาตรงตามระยะเวลาและเป้าหมายที่กำหนด
บทความเกี่ยวข้องที่น่าสนใจ : BIM มิติใหม่ในการลดต้นทุนก่อสร้างห้องคลีนรูม
ปรึกษาเรื่องการสร้างห้องคลีนรูม
หรือติดตามความรู้เรื่องนวัตกรรมการปรับอากาศ
Line OA : @caihvac หรือคลิก https://lin.ee/RTsrnHb
E-mail : veeraya@caiengineering.com